Site Overlay

กะหรี่

สวัสดีครับเพื่อนๆ @^0^@

วันนี้แอดจะมาพิมพ์ให้เพื่อนๆได้อ่านตามหัวเรื่องกันครับ “กะหรี่” ในความหมายของเครื่องเทศและอาหาร ไม่ใช่มีนนี่งอื่นที่พ้องรูปและเสียงแต่อย่างใด 

ถ้านึกถึงเครื่องเทศ แอดจะนึงถึง อินเดียก่อนเป็นประเทศแรกเลยครับ เป็นมหาอำนาจ+ผู้ทรงอิทธิพลด้านสีสัน ความหอม และรสชาติ ในอาหาร เพราะน้อยยยยที่สุดในการปรุงอาหาร ต้องมี เกลือกับ พริกไทยหล่ะ แล้ว

เอ…มีคำถามในใจว่า แล้วเราเริ่มค้นพบและเริ่มใช้เครื่องเทศกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยยย…

ตามข้อมูลที่แอดนั่งไถอยู่หลายวันตามที่รวบรวมและหามาได้ สรุปย่อๆที่สุด ได้ตามนี้ขะรับ

มนุษย์เรา..เริ่มมีการใช้เครื่องเทศมาตั้งแต่เมื่อ 6 ล้านปีก่อนโน้นนนนน \(0_0!)/ โดยมาจากการนำใบไม้มาห่อเนื้อแล้วพบว่ามันทำให้มีรสชาติอร่อยขึ้น แหมมมม เป็นการเอาตัวรอดบวกกับความบังเอิญที่จึ้งสุดๆ เพราะทุกการค้นพบก่อให้เกิด+เปิดประสบการณ์ใหม่ 

หลายๆภูมิภาคทั่วโลกก็ไดมีการนำเครื่องเทศมาใช้ประโยชน์ต่างๆกัน เช่น ในสมัยอียิปต์โบราณได้มีการค้นพบว่ามีการนำเครื่องเทศ มาใช้เป็นยารักษาโรคด้วย เช่น ผักชี ยี่หร่า กระเทียม สะระแหน่ หัวหอม งาดำ เป็นต้น ว่ากันว่า กานพลูและกระเทียม ถูกพบในหลุมฝังศพของ คิง ตุตันคาเมน (อืมมม เอาไว้ทำไรน้ออออ) แถมยังให้คนงานที่สร้าง Pyramid of Cheops (หรือที่รู้จักในชื่อ Pyramid of Khufu) กินกระเทียมกับหัวหอมทู้กกกกวัน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย โหหหห…จะได้อึดถึกอดทนแรงเยอะสุขภาพดี หรือ อาจจะ เป็นกุศโลบายมั้ยนะ ที่จะให้คนงานตั้งใจทำงานอย่างเดียว ไม่มีการพูดคุยเพราะปากไม่น่าจะหอมหลังจากรับทานกระเทียมกะหัวหอมเข้าไป ..( หยอกๆๆ..ข้อหลังนี่แอดคิดเอาเองครับ)

ส่วนประเทศจีน ก็ได้นำเครื่องเทศและสมุนไพรมาใช้ในการปรุงยา (อันนี้นี่ใช่เลย จีนเป็นเจ้าแห่งสมุนไพร มากๆ) ว่ากันว่าตามบันทึกของข้าราชบริพารในวัง ก็ใช้กานพลูอมไว้ในปาก ก่อนเวลาจะพูดกับองค์จักรพรรดิด้วย อืมมม…ข้อนี้นี่น่าจะเผื่อแผ่ เอาไปให้คนงานที่สร้างพีระมิดใช้ด้วยนะ  จะได้ไม่ต้องก้มหน้าก้มตาแบกหินอย่างเดียว จิได้เม้าท์มอยกับเพื่อกับฝูงบ้าง

มาถึงสมัย เมโสโปเตเมีย บันทึกรูปลิ่มโบราณได้ระบุว่า ในหุบเขาไทกริสและยูเฟรตีส์ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่มีการบันทึกรายชื่อพืชที่มีกลิ่นหอมมากมาย เช่น โหระพา งา กระวาน ขมิ้น หญ้าฝรั่น งาดำ กระเทียม ยี่หร่า โป๊ยกั๊ก ผักชี ซิลเฟียม , ผักชีฝรั่ง และมดยอบ (myrrh) ชาวอัสซีเรียโบราณยังใช้งาเป็นน้ำมันพืช เพราะฉะนั้นน้ำมันงา มีมาตั้งแต่ในยุค เมโสโปเตเมียแล้วนะเนี่ยยยย วาววววว…(อุท่านต่ำ ไม่ได้ลืม ไม้โท แต่อย่างใด)

พิมพ์มาตั้งนาน ยังไม่ได้พิมพ์เลยว่า เครื่องเทศ มาจากไหน.. อ่ะแล้วมาจากไหนอ่ะ

เครื่องเทศในสมัยก่อนนี้ แหล่งผลิตที่สำคัญมาจากอินเดียและหมู่เกาะมาลูกู (อินโดนีเซีย) ด้วยความที่อยู่ไกลจากฝั่งยุโรปเลื้อเกินนน ทำให้เครื่องเทศมีราคาซู้ง จนเลยเถิดไปขนาดมีตำนานว่า เครื่องเทศนี่คือเศษไมีสวรรค์ ที่ตกลงมาบนโลกมนุษย์ (การสร้าง สตอรี่เพื่อเพิ่มมูลค่านี่ มีกันมานานมาแล้วเหมือนกันนะเนี่ยยยยย)

มีการเก็บแหล่งเพาะปลูกเป็นความลับและเกิดการผูกขาดการขายเครื่องเทศอีกต่างหาก (งกเนอะ) โดยจะส่งให้กับยุโรปไม่กี่ที่เท่านั้น แถมังส่งเฉพาะที่ ที่เป็นพันธมิตมีความหนิดหนมกับสุลต่านอีกต่างหาก  ทีนี้ทำยังไงดีหล่ะ ฝั่งยุโรปไม่อยากซื้อแพงแล้ว เลยหาทางที่จะซื้อตรงแบบถึงเนื้อถึงตัว ( ไดเร็กเซลล์ ก็มีมานานแล้วเหมือนกัน ) ไม่ผ่านอำนาจและพ่อค้ามุสลิมอีก ก็เลยส่งทีมออกสำรวจเองมันซะเลย โดยสเปนออกทุนให้จากการขอของ  คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (ต้องมีซาวน์ดเปิดตัวและ ถ้าเป็นหนัง)

โดยมีความคิดที่ว่าโลกมันกล้มมมมกลม แล่นเรือไปเรื่อยๆ ทางทิศ ตะวันตก เด๋วมันก็จะมาเจอ อินเดียเอง … แหมมมมมม ครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ 555 โชค+ดวง+ความบังเอิญ นี่มีอยู่ในทุกๆประวัติทุกๆเรื่องจริงๆ ส่วนอีกต้านนึงอีกคณะนึง ก็จัดการเดินทาง อ้อมมมม แอฟริกา ตามเส้นทางที่ เจ้าชายเฮนรี่ ของโปรตุเกสได้ทำการสำรวจไว้ 

ถึงแม้ว่าโคลัมบัส จะเดินทางอ้อมแหลม กู้ดโฮป ได้สำเร็จ ค้นพบโลกใบใหม่ แต่ก็ไม่พบอิเดีย (ภาพในหัวแอดตอนนี้นึกถึงฉากที่นางเอกหนังแขกร้องเพลงแล้วก็หลบหลังต้นไม้เล่นซ่อนหา หลบซ้ายที ขวาที อืมม หายากและมีมานานมากกกกแล้วสินะ) ไม่พบกับเครื่องเทศที่รอคอย

โปรตุเกสเห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่รอละ รีบบบบบบ ลงทุนและพัฒนาเส้นทางการค้า สร้างเรือ สร้างทีมขึ้นมา (เรียกทีมได้มั้ยนะ) จนกัปตัน วาสโก้ ดากามา ประสบความสำเร็จในการเดินทางถึงอินเดีย ทีนี้อำนาจในการค้าขายเครื่องเทศก็ถูกเปลี่ยนมือไปโดยปริยาย มหาสมุทรอินเดียและเมืองท่าต่างๆ ตกอยูใต้อำนาจของโปรตุเกส และโปรตุเกส ก็เข้าควบคุมการขายเครื่องเทศที่จะส่งไปยุโรปได้ 75% ถือว่าสูงลิ่วมากๆยที่เดียว และยังสามารถทำให้เป็นศูนย์กลางของการค้ามาได้นานต่อเนื่องถึง 300ปี โอววววว…

นอกเรื่องไปไกลละ จริงๆแล้ววันนี้แอดอยากจะมาพิมพ์เรื่อง แกงกะหรี่ญี่ปุ่นครับ ยอมรับว่าตอนเด็กๆ รับทานไม่ลงเลยทีเดียวสืบเนื่องมาจากสีของคุณเค้า เพิ่งมาได้ลองกินตอนทำงานแล้วนั่นแหละ เจ้านายญี่ปุ่นของแอดทำให้กิน พอได้กิน บ่อยๆเข้าก็เริ่มอร่อยมากขึ้นๆๆๆ 

อ่ะ..ทีนี้พอต้องมาเขียนเกี่ยวกับ แกงกะหรี่ญี่ปุ่น ก็ต้องหาข้อมูลกันขวักไขว่  เจอเรื่อให้แปลกใจอีกแล้ว…

ใครจะไปคิดว่าแกงกะหรี่ญี่ปุ่นน้านนนน ไม่ได้มาจากอินเดีย อ่ะ งง 1  แต่ว่าได้มาจากอังกฤษผ่านทางกองทัพเรือ OoO โอววววว งง2 แถมยังถูกเอามารณรงค์ให้บริโภคเพื่อป้องกันโรคที่ฮิตในสมัยก่อนอีก โอววววอีกที งง3

เมื่อย้อนนนไป สมัยที่อังกฤษออกล่าอาณานิคมแบบจริงจังๆๆๆ ซึ่งหนึ่งในประเทศที่ตกอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษ ก็คือ อินเดีย  โดยคนอังกฤษก็ได้เอา วัฒนธรรมการกิน เช่น ใบชา เครื่องเทศ มากมายเข้าไปในประเทศ รวมถึงยุโรปด้วย และวัฒนธรรมนี้ได้ส่งต่อมายังญี่ปุ่นในสมัย เมจิ ทหารเรือของทั้งสองประเทศมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกันจึงเกิดการแลกเปลี่ยวัฒนธรรม อาหารกันเกิดขึ้น  แกงกะหรี่ถือเป็นอาหารชั้นสูงในสมัยโน้น เดิมทีจะมีเสริฟ์ในร้านอาหารดีๆเท่านั้น ตามมาก็คือได้ลงนิตยสารมากขึ้น คนเห็นมากขึ้น ต่อมาอีก  ร้านอาหารต่างๆ ร้านข้าว ร้านอุด้ง ร้านโซบะ เลยนำแกงกะหรี่มาทำขายกะนมากขึ้นเลยทำให้เกิดเป็นกระแส แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักของการทำให้แกงกะหรี่เป็นแกงแห่งชาติ แล้วสาเหตุหลักคืออะไรหล่ะ แฮะ..แฮ่มมม ขอลีลานิด สาเหตุหลักก็คือ 

เดี๋ยวแอดจะขอเฉลยต่อในบทความหน้าละกันนะครับ พร้อมกับสูตรแกงกะหรี่ ส่วนบุคคลของแอดเองที่(ไม่)รับรองว่า อาโหร่ยยยยย

ขอบคุณครับ

By N.K

อ้างอิง

mccormickscienceinstitude.com 

zatsuneta.com

jcb.lunaimaging.com

dreamreader.net

seasoningandspice.org.uk

silkroadspices.ca